ความเมตตาของคุณพ่อไพบูลย์ ที่ได้มอบโอกาสที่งดงามทางการศึกษาให้กับนักเรียนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์อย่างพวกเรา

“แตงโม  จิราพร จำเริญลาภ”
นักเรียนทุน รุ่นที่ 14/2555

⏩ เล่าเรื่องราวย้อนอดีต

  ก่อนที่จะได้รับทุนจากมูลนิธิดำรงชัยธรรม  หากเล่าย้อนไปในตอนนั้นก็ต้องบอกเลยว่าความเป็นอยู่ทางครอบครัวค่อนข้างลำบาก พ่อกับแม่แยกทางกันแม่ก็เลยพากลับมาอยู่กับยายที่สุพรรณบุรีโดยบ้านที่อาศัยอยู่ก็เป็นบ้านของยาย เราอาศัยอยู่ด้วยกันทั้งหมด 7 คน ประกอบด้วย คุณยายซึ่งตอนนั้นยายป่วยเป็นโรคมะเร็งปากมดลูกระยะที่ 3 คุณลุงพิการจากการประสบอุบัติเหตุ คุณแม่ พี่ชาย น้องสาว น้องชาย และตัวหนูเองซึ่งพวกเราก็อยู่ในช่วงที่กำลังศึกษาเหมือนกันทั้งหมด ทำให้ต้องมีค่าใช้จ่ายภายในครอบครัวที่ค่อนข้างสูงมาก แต่ในตอนนั้นมีเพียงแม่คนเดียวที่เป็นเสาหลักของครอบครัว แน่นอนเลยว่ารายรับที่ได้มันไม่มีทางที่จะเพียงพอในการใช้ชีวิต บางครั้งก็ต้องไปกู้หนี้ยืมสินเขามาใช้จ่ายก่อน อาชีพที่ครอบครัวเราทำในตอนนั้นคือเย็บผ้า (มุ้ง, กางเกง) และก็รับจ้างทั่วไป ในช่วงวันหยุดเรียน พวกเราก็จะไปช่วยแม่ทำงานหาเงิน ทั้งปลูกอ้อย ปลูกมัน เกี่ยวข้าว เกี่ยวหญ้า กล่าวง่ายๆเลยคือทำทุกอย่างเพื่อให้เราได้เงินมาดูแลกันในครอบครัว มันไม่สนุกเลยกับการที่ต้องทำงานตากแดดเปรี้ยง ๆ ทุกวัน เหนื่อยและท้อ แต่พอมาคิด ๆ ดูแล้ว ตัวเราเองก็จะมีโอกาสมาทำงานแบบนี้แค่ช่วงวันหยุด ในทางกลับกันแม่เราต้องมาทำแบบนี้ทุกวันท่านจะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยและทดท้อขนาดไหน จุดนี้เองที่ทำให้หนูตั้งปณิธานกับตนเองว่าเราจะต้องตั้งใจเรียนให้ดีที่สุด เพื่อจะได้มีงานที่มั่นคงทำ จะได้มีรายได้มาดูแลทุกคนในครอบครัว แม่จะต้องไม่ลำบาก น้องจะต้องได้เรียน ทุกคนในครอบครัวเราจะต้องมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกว่านี้ แต่เหมือนตอนนั้นความฝันทางการเรียนของหนูก็เริ่มจะเลือนราง และสงสารแม่ที่ต้องทำงานหนัก ความคิดที่จะออกมาช่วยแม่ทำงานก็เริ่มพรั่งพรูมากขึ้น ก็แอบคิดกับตัวเองว่าเอาละเรียนแค่ ม.3 ก็พอแล้วออกมาช่วยแม่ทำงาน แต่อีกใจก็เสียดายมากหากต้องจบอนาคตการเรียนของตัวเองไว้แค่นี้ เพราะความฝันที่มีตอนนั้นคือหนูอยากเป็นพยาบาล หรือไม่ก็รับราชการครู แต่ถ้าจบ ม.3 ก็คงเป็นอย่างที่ฝันไม่ได้ตอนนั้นมันเริ่มสับสน ไหนจะต้องเจอคำดูถูกจากชาวบ้านว่าหนูจะเรียนไม่จบ ม.3 บ้านมันจนแม่มันไม่มีปัญญาส่งลูกเรียนสูง ๆ หรอก ถึงส่งเรียนได้เดี๋ยวมันก็เป็นหนี้ท่วมหัว คำเหล่านั้น…บีบคั้นหัวใจเรามากและยังคงก้องอยู่ในใจเราจนถึงทุกวันนี้ แต่ก็อย่างว่าแหละค่ะ…ปลายอุโมงค์ที่มืดมิดก็ยังคงมีแสงสว่างให้นักสู้อยู่เสมอ ในชั่วโมงเรียนวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ครูนิวัฒน์ก็ได้นำข่าวการเปิดรับสมัครทุนของมูลนิธิดำรงชัยธรรม มาประชาสัมพันธ์ให้กับนักเรียนรับทราบ พร้อมทั้งชี้แจงรายละเอียด และจัดการเตรียมเอกสารให้กับนักเรียนที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมัครกัน  ตอนนั้นเราส่งเอกสารการสมัครทุนกันเกือบทั้งห้อง อาจารย์ก็บอกว่าอย่าไปคาดหวังเยอะ เพราะเขาไม่ได้รับแค่โรงเรียนเรา เขารับทั้งประเทศแล้วไปคัดอีกรอบหนึ่ง ตัวเราเองก็ได้แต่ภาวนา…สาธุ…ขอให้ได้มีโอกาสได้รับทุนนี้ด้วยเถิด

   เวลาผ่านไปไม่นานมูลนิธิก็ประกาศรายชื่อนักเรียนที่มีสิทธิ์เข้ารับการพิจารณาเพื่อได้รับทุน และต้องเข้าร่วมกิจกรรม work shop เพื่อคัดเลือกอีกครั้ง ตอนนั้น คือ ชีวิตเริ่มมีแสงสว่างให้เดินต่อแล้ว หนูตอบตกลงเข้าร่วมกิจกรรม work shop ในทันที ตลอดเวลาที่ได้มาทำกิจกรรมร่วมกับพี่ ๆ เพื่อน ๆ มันเป็นอะไรที่มีความสุข และสนุกสนานมาก เราได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ จากการทำกิจกรรม ซึ่งมันช่วยให้เรามีความกล้าแสดงออกมากขึ้น และสิ่งสำคัญที่เห็นได้ชัดเจนคือ เราได้เรียนรู้การเป็นผู้ให้ที่แท้จริง ถึงแม้กิจกรรมที่เราได้ทำจะใช้ระยะเวลาที่ไม่นาน แต่เราก็สามารถซึมซับความรู้สึกและสร้างจิตสำนึกตรงนั้นได้เป็นอย่างดีค่ะ กิจกรรมบางอย่างก็เป็นการเปิดประสบการณ์เรื่องราวชีวิตที่แต่ละคนได้พบเจอมา ทำให้เราทราบว่าพี่ ๆ เพื่อน ๆ แต่ละคนต้องฝ่าฟันอะไรกันมาบ้าง ตอนนั้นมันทำให้หนูเปลี่ยนความคิดจากเดิมที่เรามุ่งหวังว่าเราอยากได้ทุนมาก มันก็เริ่มลดลงมาเพราะคิดว่า…ยังมีคนที่ลำบากกว่าเราอยู่นะ หลังจากจบกิจกรรมนี้ไปแล้วเราจะได้รับทุนหรือไม่ได้รับก็ไม่เป็นอะไร เพราะเราได้มีโอกาสมาเรียนรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณณ์ดี ๆ ซึ่งกันและกันแล้ว เรามีความสุขมากที่ได้มีโอกาสมาเจอพี่ ๆ เพื่อน ๆ

    สำหรับเรา ณ ตอนนั้นมันก็เป็นความรู้สึกที่คุ้มค่าแล้ว เมื่อผลประกาศออกมาว่าเราได้รับทุน แน่นอนค่ะความรู้สึกตอนนั้นคือ…ดีใจมาก จำได้ว่าวันประกาศผลหนูกำลังไปทัศนศึกษากับทางโรงเรียนที่แสมสาร วันนั้นหนูกำลังฝึกวิธีการดำน้ำเพื่อไปดูปะการังอยู่กับเพื่อน ๆ แล้วก็ได้ยินเสียงครูตะโกนเรียกจากบนฝั่งให้รีบขึ้นมามีอะไรจะบอก พอหนูขึ้นไปครูก็บอกว่า ดีใจด้วยนะเธอได้รับทุนมูลนิธิดำรงชัยธรรม หนูกระโดดกอดครูร้องไห้เลยค่ะ มันบรรยายความรู้สึกไม่ถูกเลย ตื้นตันสุด ๆ หากถามว่าถ้าไม่ได้รับทุนแล้วชีวิตจะเป็นอย่างไร ก็คงตอบยากอยู่เหมือนกันนะคะ แนวโน้มก็คงทำอาชีพรับจ้างช่วยแม่อยู่บ้าน อาจจะไม่ได้เรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยอย่างที่ตัวเองฝันแบบทุกวันนี้ ชีวิตก็คงลำบากมากกว่านี้ค่ะ

 ความรู้สึกครั้งแรก ตอนที่เข้ามาเป็นนักเรียนทุน ตอนนั้นรู้สึกอย่างไร…?

  ความรู้สึกครั้งแรกที่เข้ามาเป็นนักเรียนทุนก็รู้สึกดีใจนะคะ เพราะอย่างไรเราก็ได้เรียนต่อในระดับที่สูงขึ้นแน่นอน ไม่ต้องคอยกังวลว่าจะไม่มีเงินเรียนหรือไม่ แต่ภายใต้ความดีใจก็มีความกังวลซ่อนอยู่  เนื่องมาจากว่า…ตัวหนูเองไม่เคย นั่งรถ หรือเดินทางตามลำพังเลยตั้งแต่เกิดมา แล้วอีกอย่างคือหนูเป็นคนที่เมารถหนักมาก ยาแก้แพ้ แก้เมารถ อะไรก็เอาไม่อยู่ พยายามลองทุกวิธีที่เขาบอกว่าทำแล้วจะไม่เมารถ แต่ก็ไม่เป็นผลกับหนู สิ่งเดียวที่จะทำให้รอดจากการเมารถได้นั้นก็ คือ การหลับ แล้วถามว่าถ้าให้เดินทางคนเดียวจะหลับได้ไหม คำตอบก็คือ…ไม่ค่ะ หลับแล้วใครจะดูทาง ใครจะรู้ว่าเราจะลงตรงไหน นี่คือเหตุผลหลักเลยที่หนูไม่ชอบเดินทาง หนูก็เลยแอบกลัวว่า…ทางมูลนิธิจะต้องมีการให้นักเรียนทุนเดินทางไปที่มูลนิธิทุกเดือนไหมนะ? ถ้ามีแบบนั้นจริง ๆ ก็คงต้องเกิดการเลือกเกิดขึ้น ระหว่างจะเดินทาง หรือจะสละสิทธิ์ทุน ความรู้สึกตอนนั้นคือมันกลัวไปหมดทุกอย่าง ไม่กล้าที่จะทำหรือตัดสินใจด้วยตนเอง ย้อนนึกถึงก็ตลกตัวเองเหมือนกันนะคะ แต่เรื่องเมารถนี่ทุกวันนี้ก็ยังเป็นอยู่ค่ะ ไม่รู้ว่ามีใครเป็นเหมือนหนูมั๊ย มันทรมานมากเลยนะคะเวลาที่เมารถ รู้สึกปวดหัว คลื่นไส้ตลอดเวลา ไม่สบายตัว ไม่มีแรงที่จะทำอะไรต่อ เหมือนกำลังจะตายยังไงไม่รู้ค่ะ และอีกเรื่องที่กังวลตอนนั้นก็คือเรื่องกฎระเบียบของการเป็นนักเรียนทุน หนูก็เคยแอบคิดว่าถ้าได้รับทุนแล้วเราจะเหมือนถูกขังอยู่ในกรอบของกฎระเบียบหนัก ๆ หรือไม่  การใช้ชีวิตเราจะเหมือนเดิมมั้ย เส้นทางที่เดินในทุกวันจะต้องเดินตามแบบที่มูลนิธิกำหนดให้หรือไม่ เขาจะบงการชีวิตเราแค่ไหน คือคิดเยอะไปหมดทั้ง ๆ ที่ก็ยังไม่ได้สัมผัสกับความเป็นจริงเลย สรุปง่าย ๆ เลยมันเป็นความดีใจที่ปนกับความกังวล ความวิตกที่หนูชอบจินตนาการไปเองก่อนเรื่องจริงค่ะ

⏩ มีความประทับใจ…ต่อการเข้ามาเป็นนักเรียนทุนของมูลนิธิ?

     สิ่งแรกที่ประทับใจเลย คือ ประทับใจในความเมตตาของคุณพ่อไพบูลย์ ที่ได้มอบโอกาสที่งดงามทางการศึกษาให้กับนักเรียนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์อย่างพวกเรา สิ่งที่สองคือ ประทับใจในความน่ารักของพี่ ๆ เจ้าหน้าที่ดูแลนักเรียนทุนทุกท่านที่ได้สละเวลามาจัดการเอกสารให้น้อง ๆ ทุกเดือน ซึ่งอาจจะมีลืมส่งบ้าง เอกสารผิดพลาดบ้าง แต่พี่ ๆ ก็ไม่เคยนิ่งเฉยเลย พยายามติดตาม เพื่อรักษาประโยชน์ให้น้อง ๆ ตลอด ฝึกให้น้อง ๆ เป็นคนมีวินัย และมีความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม สิ่งต่อมาคือประทับใจในความเอาใจใส่ดูแลช่วยเหลือซึ่งกันและกันของเพื่อนพี่น้องนักเรียนทุน พวกเราจะช่วยเหลือกันตลอดไม่ว่าจะเป็นในส่วนของเอกสารที่ต้องส่งให้กับมูลนิธิ การปรึกษาปัญหาชีวิตส่วนตัว การขอคำแนะนำในเรื่องต่าง ๆ ทุกคนพร้อมที่จะช่วยเหลือกันเสมอ และสิ่งสุดท้าย แต่คงไม่ท้ายที่สุด คือ ประทับใจในความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของสมาชิกแห่งบ้านหลังนี้ เมื่อมีโอกาสทุกคนก็จะรวมตัวกัน เพื่อไปทำความดีให้กับสังคม ซึ่งเห็นได้จากการออกค่ายอาสาต่าง ๆ ทั้งพัฒนาโรงเรียนในถิ่นทุรกันดาร เลี้ยงอาหารกลางวันเด็ก จัดกิจกรรมวันเด็ก สร้างฝายน้ำล้น และอื่น ๆ อีกมากมาย สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ได้สร้างความทรงจำ และความประทับใจที่ดีที่สุดให้กับหนูค่ะ

⏩ สิ่งที่อยากฝากอยากบอกถึงน้องรุ่นหลัง ๆ

   อยากให้น้อง ๆ มีวินัยและรับผิดชอบในหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด ซื่อสัตย์ต่อตนเองและสิ่งที่เรากำลังทำ ถึงแม้คนอื่นอาจจะมองไม่เห็นในสิ่งที่เราทำ ที่เราเป็น แต่อย่างน้อยก็มีตัวเราเองที่รู้ดีในการกระทำของเรามากที่สุด  เมื่อมีโอกาสได้รับทุนแล้ว เราก็ต้องตั้งใจทำในสิ่งที่เราฝันไว้ ให้เต็มที่ ให้เหมือนกับความตั้งใจวันแรกที่เราอยากได้ทุน อย่าหลงระเริงไปกับสิ่งที่ยั่วยุ ให้น้องรักษาเนื้อรักษาตัว และรักษาหัวใจ ให้ถึงฝั่งอย่างที่น้องฝัน ให้น้องอดทนสู้กับทุกสิ่งทุกอย่างที่น้องต้องพบเจอ โลกใบนี้ยังมีอะไรที่ให้พวกเราต้องเรียนรู้อีกมากมาย หากเราทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ก็ไม่ต้องไปกลัวอะไรทั้งสิ้น ความดีจะเป็นสิ่งที่ช่วยเหลือและคุ้มครองตัวเราเอง และสุดท้ายอย่าลืมที่จะเป็นผู้ให้ เพื่อสร้างรอยยิ้มให้เกิดขึ้นในสังคมที่เราอยู่นะคะ